Home » บทความน่ารู้ » รู้หรือไม่ พ.ร.บ. รถยนต์ สามารถเคลมสิ่งเหล่านี้ได้ !
รู้หรือไม่ พ.ร.บ. รถยนต์ สามารถเคลมสิ่งเหล่านี้ได้ !


เชื่อว่าผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า พ.ร.บ. รถยนต์ หรือประกันรถยนต์ภาคบังคับ มีความสำคัญต่อรถยนต์อย่างไร ซึ่งนอกจากคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุแล้ว พ.ร.บ. รถยนต์ ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นอีกด้วย วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกันว่า พ.ร.บ. รถยนต์ ที่เราต่อกันทุกปีนี้คุ้มครองอะไรบ้าง และสามารถเคลมอะไรได้บ้าง

รู้หรือไม่ พ.ร.บ. รถยนต์ เคลมอะไรได้บ้าง
อย่างที่ทุกคนทราบกันว่า พ.ร.บ. รถยนต์ หรือประกันรถยนต์ภาคบังคับ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำและมีไว้ติดรถยนต์ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะสามารถเคลม พ.ร.บ. รถยนต์ หรือเบิกประกัน พ.ร.บ. รถยนต์ได้ ดังนี้
1. ค่าเสียหายเบื้องต้น (สามารถเคลมได้ โดยยังไม่ต้องพิสูจน์ความผิด)
– ค่ารักษาพยาบาล (จ่ายตามจริง) ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ โดยสามารถเบิกได้สูงสุด 30,000 บาท
– กรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร (พิการ) สามารถเบิกได้สูงสุด 35,000 บาท
– โดยในกรณีที่ได้รับความเสียหายทั้ง 2 รูปแบบ จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นชดเชยรวมกันไม่เกิน 65,000 บาท
2. ค่าเสียหายส่วนเกิน
ในส่วนนี้จะจ่ายหลังจากที่พิสูจน์ความผิดแล้ว โดยบริษัทประกันของฝ่ายที่ผิดจะเป็นคนชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ประสบภัยหรือทายาทของผู้ประสบภัย ซึ่งแบ่งเป็นกรณีดังนี้
– กรณีบาดเจ็บ จะจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาล รวมค่าสินไหมทดแทนให้ไม่เกิน 80,000 บาท
– กรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะ จะจ่ายชดเชยให้ทั้งหมดเป็นจำนวน 300,000 บาท ซึ่งรวมถึงค่ารักษาพยาบาลด้วย
3. ค่าสินไหมทดแทน (กรณีที่เป็นฝ่ายถูก)
ในกรณีที่ผู้ประสบภัยพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝ่ายถูก จะสามารถเบิกค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมได้ดังต่อไปนี้
– ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง) สูงสุดคนละ 80,000 บาท
– กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร คนละ 500,000 บาท
– กรณีสูญเสียอวัยวะ 2 ส่วนขึ้นไป ได้รับเงินชดเชยคนละ 500,000 บาท
– กรณีสูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน ได้รับเงินชดเชยคนละ 250,000 บาท
– กรณีสูญเสียนิ้ว ตั้งแต่ 1 นิ้วขึ้นไป ได้รับเงินชดเชยคนละ 200,000 บาท
– ทุพพลภาพถาวร (ในกรณีนี้หมายถึง ไม่สามารถประกอบอาชีพประจำได้) ได้รับเงินชดเชยคนละ 300,000 บาท
– กรณีนอนรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ได้รับเงินชดเชยวันละ 200 บาท (ไม่เกิน 20 วัน)

- สำเนาบัตรประชาชน ของผู้ประสบภัย (หากอายุไม่ถึง 15 ปี ให้ใช้ใบสูติบัตรแทน)
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาทะเบียนรถคันที่เกิดเหตุ
- สำเนาใบขับขี่ พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง (ในกรณีที่ผู้ประสบภัยเป็นผู้ขับขี่)
- ใบแจ้งความหรือบันทึกประจำวันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
- สำเนาใบกรมธรรม์ พ.ร.บ. รถยนต์
- สำเนาบัตรประชาชน หรือ สำเนาหนังสือเดินทางของผู้ประสบภัย
- ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาล
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประสบอุบัติเหตุ
- ใบมรณบัตร
- สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของทายาท
- สำเนาบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวน หรือหลักฐานที่แสดงว่าผู้ประสบภัยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
- สำเนาบัตรประชาชนผู้ประสบเหตุ
- ใบรับรองแพทย์และหนังสือรับรองการเป็นผู้พิการ
- สำเนาบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวน หรือหลักฐานที่แสดงว่าผู้ประสบเหตุได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
- ใบรับรองแพทย์หรือหนังสือรับรองการรักษาตัว เป็นผู้ป่วยใน
- สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของผู้ประสบภัย
- หากรถไม่มี พ.ร.บ. รถยนต์ หรือไม่ได้ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ หากประสบอุบัติเหตุจะไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆ
- ในกรณีที่คู่กรณีเป็นฝ่ายผิด หากต้องทำการเบิกหรือเคลมค่ารักษาพยาบาลสามารถทำได้ เพียงแต่ต้องออกค่าใช้จ่ายล่วงหน้าไปก่อน ระหว่างที่รอผลการพิสูจน์ว่าผิดหรือถูก
- ในกรณีที่เป็นฝ่ายผิด กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถจะมาไล่เบี้ยคุณ และบวกเงินเพิ่มอีก 20% พร้อมกับค่าปรับที่นำรถ ไม่มี พ.ร.บ. รถยนต์ หรือไม่ได้ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ มาใช้เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 10,000 บาท
- ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท
- ไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้ หากถูกตำรวจจับจะต้องเสียค่าปรับป้ายวงกลมจำนวน 400-1,000 บาท และเมื่อไปต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ อีกครั้งจะต้องเสียค่าปรับดอกเบี้ยอีกเดือนละ 1% หากปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 3 ปี ทะเบียนรถยนต์จะถูกระงับการใช้งานและโดนค่าปรับอีก 1,000 บาท
สำหรับใครที่สงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://viriyahphuket.com/ หรือโทรสอบถามที่เบอร์ 090-279-9449